#ที่ปรึกษาทางการแพทย์ #สุขภาพดี #การให้บริการด้านสุขภาพ
เรียบเรียงโดย อนุชิต เทพสี บ.จิว เวลเนสส จก.

ประเทศไทยมีฤดูฝนที่ยาวนานตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม โดยมีฝนตกชุกในหลายพื้นที่ และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าฤดูฝนจะมีอุณหภูมิที่เย็นลงจากฤดูร้อน แต่กลับเป็นช่วงที่พบการเจ็บป่วยจากหลายโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ความชื้น น้ำท่วมขัง และการระบาดของเชื้อโรคที่มากับน้ำ อากาศ และแมลง
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพในฤดูฝน รวมถึงโรคที่พบได้บ่อยและแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม จะช่วยให้ประชาชนสามารถปรับตัวและดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพในฤดูฝน
- ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง (High Relative Humidity)
ความชื้นในอากาศที่สูงกว่า 70% เอื้อต่อการเจริญเติบโตของจุลชีพ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ทั้งในอากาศ ผิวหนัง เสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้แต่ในบ้านที่มีระบบระบายอากาศไม่ดี - การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Sudden Temperature Drops)
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายนอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ - น้ำขังและการแพร่พันธุ์ของแมลงนำโรค (Stagnant Water & Vector-Borne Diseases)
น้ำขังที่เกิดจากฝนตกหนักเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ไข้ซิกา และชิคุนกุนยา - สุขอนามัยของอาหารและน้ำดื่ม (Food & Water Hygiene)
น้ำฝนที่ปนเปื้อน และความชื้นที่สะสม อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคทางเดินอาหารจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น อาหารเป็นพิษ บิด และท้องเสีย - การสัมผัสน้ำสกปรก (Contaminated Water Exposure)
การเดินลุยน้ำ หรือน้ำท่วมเฉียบพลัน อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ผิวหนัง และโรคฉี่หนู (Leptospirosis)

กลุ่มโรคที่พบบ่อยในฤดูฝน
โรคระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Tract Infections)
เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
2. ไข้เลือดออก (Dengue Fever)
เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกีที่มียุงลายเป็นพาหะ มักพบอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาจรุนแรงถึงขั้นมีภาวะช็อก
3. โรคฉี่หนู (Leptospirosis)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มากับปัสสาวะของสัตว์ และเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุผิว เช่น เยื่อตา เยื่อบุปาก มักพบในผู้ที่สัมผัสน้ำท่วมขังโดยไม่สวมรองเท้า
4. โรคระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Diseases)
เช่น ท้องเสียจากอาหารปนเปื้อน หรือจากน้ำไม่สะอาด เชื้อที่พบบ่อยได้แก่ E. coli, Salmonella, หรือเชื้อไวรัสโรต้า
5. โรคผิวหนัง (Skin Infections)
รวมถึงเชื้อราที่เท้า (Tinea), การอักเสบจากความอับชื้น, หรือการติดเชื้อแบคทีเรียจากรอยแผลเล็ก ๆ
แนวทางการดูแลและป้องกันตนเองในฤดูฝน
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งและเปลี่ยนทันทีหลังเปียกฝน เพื่อป้องกันการเกิดการอักเสบของทางเดินหายใจหรือผิวหนัง
- รับประทานอาหารร้อน สะอาด และปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆดิบๆ
- ดื่มน้ำสะอาดเท่านั้น หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำฝนหรือน้ำที่ไม่ได้ผ่านการกรอง
- ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังออกนอกบ้าน
- กำจัดแหล่งน้ำขังรอบบ้าน เพื่อควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- หมั่นออกกำลังกาย และรับประทานวิตามินจากผักผลไม้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
Health awareness เป็นเรื่องสำคัญ
ฤดูฝนอาจดูสวยงามและชุ่มฉ่ำ แต่ซ่อนความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องระวัง การมีความเข้าใจในปัจจัยแวดล้อมและโรคที่พบบ่อย รวมถึงการ เตรียมความพร้อมและการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงตลอดฤดูฝนนี้หน้าฝนสุขภาพดี
#ระวังไข้เลือดออก #อาหารเป็นพิษหน้าฝน #ฝนตกอย่าตกใจ #ดูแลสุขภาพตลอดฤดู #RainySeasonWellness #DengueAwareness #PreventRainyDiseases #jiuwellness