#HerbalTea #TeaForWellness #HealthBenefitsOfTea #TeaLover#HolisticHealth
เรียบเรียงโดย อนุชิต เทพสี บ.จิว เวลเนสส จำกัด
ชาประเภทต่างๆที่ส่วนใหญ่เรานำมาดื่มนั้นล้วนมาจาก ต้นชาที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่มณฑลยูนนาน และมณฑลเสฉวน ของประเทศจีน และมีพันธุ์ย่อยที่อยู่แคว้นอัสสัมประเทศอินเดียมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. assamica และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชื่อว่า Camellia sinensis var. cambodiensis
เราอาจจะได้ยินการเรียกชื่อชามากมายหลากหลายชนิด เช่นชาอู่หลง ชามัทฉะ ชาเขียว ชาฝรั่งเช่น English Breakfast, Earl Grey เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้มาจากชาต้นเดียวกัน แตกต่างกันที่พื้นที่เพาะปลูก ส่วนของชา และ กรรมวิธีการผลิต
เราสามารถแบ่งชาออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
- ชาเขียว
- ชาขาว
- ชาเหลือง
- ชาอู่หลง
- ชาแดง หรือชาดำ ตามภาษาอังกฤษจะเรียกเป็น Black Tea
- ชาผูเอ่อร์ภาษาอังกฤษจะเรียก Dark tea

ชาเขียว (Green tea) เป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก (Non-fermented tea) นำใบชามาอบด้วยไอน้ำ (steaming) หรือการคั่วบนกระทะร้อน (pan firing) เพื่อทำให้เอนไซม์ polyphenol oxidase ไม่สามารถเร่งปฏิกิริยา oxidation และ polymerization ของ polyphenols ที่อยู่ในใบชาได้ จากนั้นนำไปอบแห้ง สีของน้ำชาประเภทนี้จะมีสีเขียวถึงเขียวอมเหลือง
ชาขาว (White Tea) เป็นชาชนิดแรกนี้ได้มาจากยอดชาตูมและอ่อนมากซึ่งประเภทของชานี้จะถูกเก็บเกี่ยวภายใน 48 ชั่วโมง และรีบนำมาตากแดดหรือลมให้ใบชาแห้งอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีแบบดั้งเดิมที่ไม่มีการหมักบ่ม เมื่อนำมาชง ก็จะได้ชาที่มีสีเหลืองอ่อนและกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบดั้งเดิม เนื่องจากผ่านขั้นตอนการสกัดมาน้อยกว่าชาประเภทอื่นๆ ทำให้ชาขาวมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) มากกว่าชาชนิดอื่นๆ
ชาเหลือง เป็นชาที่มีเฉพาะที่เมืองจีน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ชาประเภทนี้มีกระบวนการผลิตที่ยาก และซับซ้อนกว่าชนิดอื่น นั้นคือ กระบวนการทำเหลือง โดยที่ทำให้ใบชาเปลี่ยนสี คือ การคัดเลือกยอดอ่อนใบชาที่มีคุณภาพดีมาผึ่ง จากนั้นนำความร้อนเข้าสู่ใบชาเพื่อลดกระบวนการ Oxidation และนำใบชามาม้วนใส่ในถุง เพื่อเก็บน้ำมันของใบชา และปล่อยให้แห้ง โดยใบชาจะค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นโทนเหลือง และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ได้รับความนิยมในเฉพาะกลุ่ม จึงเป็นที่รู้จักน้อยกว่าชาประเภทอื่นๆซึ่งฤดูเก็บเกี่ยวใบชาเหลืองจะเริ่มช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ชาอู่หลง (Oolong tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักเพียงบางส่วน (Semi-fermented tea) ก่อนหยุดปฏิกิริยาของเอนไซม์ด้วยความร้อน กรรมวิธีการผลิตจะมีการผึ่งแดด (withering) ภายหลังผึ่งแดดใบชาจะถูกผึ่งในร่มอีกครั้ง เพื่อเร่งปฏิกิริยา oxidation และ polymerization ของ polyphenols ทำให้ชาอู่หลงมีกลิ่นและสีที่แตกต่างไปจากชาเขียว น้ำชาอู่หลงจะมีสีเหลืองอมเขียว และสีน้ำตาลอมเขียว
ชาดำ (Black tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างสมบรูณ์ (Completely-fermented tea) ใบชาจะถูกผึ่งให้ถูก oxidized อย่างสมบรูณ์เกิดเป็นสารประกอบกลุ่ม Theaflavins และ Thearubigins ทำให้ชาดำมีสีน้ำตาลแดง
ชาผูเอ่อร์ เป็นชาหมัก น้ำชามีสีดำและมีกลิ่นกับรสชาติที่เข้มข้น ผลิตด้วยใบชาตากแห้งจากต้นชาพันธุ์ใบใหญ่ที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลยูนนาน ที่อำเภอผูเอ่อร์ ชาพันธุ์ใบใหญ่มีเนื้อใบที่เป็นรูพรุน (Spongy mesophyll) มากกว่าชาพันธุ์ใบเล็กเหมาะจะนวดแรงๆ ให้น้ำจากใบชาเหนียวติดอยู่กับผิวนอกของเส้นใบ เอื้อแก่การเกาะตัวของจุลินทรีย์ สร้างเงื่อนไขที่ดีแก่การหมักต่อในขณะเก็บรักษาใบชา (Post-fermentation) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ชาผู่เอ๋อร์มีคุณลักษณะพิเศษ ดังนั้นสารทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) คาเฟอีน และสารที่เป็นประโยชน์อื่นจึงมีมากกว่า ทำให้ได้รสชาที่เข้มข้น ใช้กรรมวิธีการผลิตแบบโบราณโดยการหมักไว้ในเข่งตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่และรองด้วยใบตอง จากนั้นจึงอัดเป็นก้อนตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่ากับโต๊ะกลม ๆ แล้วเก็บรักษาเอาไว้ตั้งแต่ 1 ปี 5 ปี 10 ปี ไปจนถึง 20 ปี แล้วจึงนำออกจำหน่าย ชาผู่เอ๋อร์แบ่งตามกรรมวิธีการแปรรูปและเอกลักษณ์เฉพาะได้สองประเภทใหญ่ๆ คือ ชาผู่เอ๋อร์ดิบ และชาผู่เอ๋อร์สุก